" ผู้เลี้ยงปลา 6 องค์กร " ยื่นหนังสือถึง “ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ” คัดค้านการเปิดเสรีสินค้าปลา ...
" 6 องค์กร ผู้เลี้ยงปลา " ยื่นหนังสือขอคัดค้านการเปิดเสรีการค้าสินค้าปลาและผลิตภัณฑ์ ในการเจรจาฯ FTA (ไทย- สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA)) และในทุกกรอบการเจรจาฯเกี่ยวข้องตลอดสายห่วงโซ่การผลิตเพื่อความอยู่รอดอย่างยั่งยืนของพี่น้องเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลา
ที่ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ / เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 68 สมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย, สมาคมผู้เพาะเลี้ยงปลาไทย, สมาคมผู้เพาะเลี้ยงปลาทะเลไทย, สมาคมปลานิลไทย, แปลงใหญ่ปลานิลชลบุรี และ ชมรมผู้ผลิตลูกพันธุ์สัตว์น้ำไทย เข้ายื่นหนังสือถึง นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพื่อขอคัดค้านการเปิดเสรีการค้าสินค้าปลาและผลิตภัณฑ์ ในการเจรจาฯ FTA โดยระบุว่า.. รู้สึกเป็นห่วงและเป็นกังวลใจอย่างยิ่ง เนื่องจากไม่คาดคิดว่า รัฐบาลนี้ภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรี จะด่วนตัดสินใจเปิดเสรีการค้าในสินค้าปลาและผลิตภัณฑ์ให้กับ สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) ทั้งที่เป็นรายการสินค้าที่มีความอ่อนไหวสูงมาก ต่อพี่น้องเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาของประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นรายย่อย และเกี่ยวพันกับผู้คนจำนวนมาก รวมครอบครัวและส่วนเกี่ยวข้องกว่า 1 ล้านคน ที่สำคัญ 6 องค์กร ตัวแทนพี่น้องเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลา ได้ทำหนังสือคัดค้าน ไปยังท่านนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2567 ตามความทราบ
นายบรรจง นิสภวาณิชย์ ประธานสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย กล่าวว่า.. ด้วยปัจจุบันสินค้าปลาและผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศได้ทะลักเข้ามาในประเทศ ปริมาณปีละมหาศาล ทั้งจากการถูกนำไปเปิดเสรีการค้า (ภาษีนำเข้าเป็นศูนย์) ให้กับบางประเทศ/กลุ่มประเทศ โดยปราศจากความเห็นชอบจากพี่น้องเกษตรกร เช่น ปี 2549 เปิดให้กับจีน (กรอบความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน) ทำให้ต้องเปิดเสรี (ไม่เก็บภาษีนำเข้า) ให้กับประเทศอาเซียนโดยปริยาย อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการทะลักของปลากะพง ปลาบาซา ฯลฯ จากประเทศเพื่อนบ้าน สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงและความเดือดร้อนอย่างหนักต่อพี่น้องเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาในประเทศ ตามที่ทราบกัน รวมถึงมีการนำเข้าปลาจากต่างประเทศ เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล (ซาบะ) ปลาคอด ฯลฯ เข้ามาจำหน่ายและบริโภคภายในประเทศอย่างกว้างขวาง โดยไม่มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพอย่างเป็นรูปธรรมดูแลปกป้องพี่น้องเกษตรกร อาชีพการเพาะเลี้ยงปลาของประเทศ ที่มีเพียงมาตรการภาษีเก็บภาษีนำเข้าที่ร้อยละ 5 (หรือ 5%) รัฐก็พยายามกดดันให้ยกเลิก (และถูกยกเลิกให้หลายประเทศแล้ว โดยปราศจากความเห็นชอบจากเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาฯ ในประเทศ)
ยิ่งไปกว่านั้นจะมีไปลงนามยอมรับความตกลงฯ การเปิดเสรีการค้า ไทย- EFTA ในวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่จะถึง ที่ประเทศสหพันธรัฐสวิส โดยฯพณฯนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปเป็นสักขีพยาน (ทางเกษตรกรเพิ่งทราบเองจากสื่อ ดังสิ่งที่ส่งมาด้วย โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากประชาชน ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญและอ่อนไหวสูงมากต่อความอยู่รอดอย่างยั่งยืนของพี่น้องเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาและส่วนเกี่ยวข้องตลอดสายห่วงโซ่การผลิต การไปลงนามยอมรับความตกลงดังกล่าวในสินค้าปลา และผลิตภัณฑ์ โดยปราศจากการรับรู้และเห็นชอบจากเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาไทยและส่วนเกี่ยวข้อง (ไม่ยอมเปิดเผยว่าไปเปิดเสรีสินค้าปลารายการใด โดยอ้างว่าเป็นความลับ เป็นเรื่องที่น่าห่วงอย่างยิ่ง) การยืนยันจากท่านหลังจากลงนามฯ จึงจะเปิดเผยในรายละเอียดได้ และจะถูกนำมาทำประชาพิจารณ์ นำเข้ารัฐสภา เพื่อพิจารณาตามลำดับ นั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ และเข้าใจตรรกะได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องที่ไปลงนามความตกลงก่อน แล้วจึงมาสอบถามความเห็นประชาชน นำเข้ารัฐสภา (ที่เสียงส่วนใหญ่เป็นฝั่งรัฐบาล)
' 6 องค์กร พันธมิตรผู้เลี้ยงปลา ' จึงใคร่ขอความเห็นใจจากท่านอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศโปรดนำรายการสินค้าปลาและผลิตภัณฑ์ออกจากรายการสินค้าอื่นๆ - นำออกจากเอกสารที่จะไปลงนามความตกลงเปิดเสรีการค้า (FTA ไทย-EFTA) ทั้งหมดด้วย (เพราะยังทันเวลา -ยังไม่มีการลงนาม)ขอให้ยกออกนอกกรอบการเจรจาดังกล่าวโดยทันที และในทุกกรอบการเจรจา ที่สำคัญขอให้จัดเป็นสินค้าอ่อนไหวของประเทศ คงภาษีนำเข้าที่ ร้อยละ 5 (ซึ่งต่ำมากอยู่แล้ว) แต่มีประสิทธิภาพยิ่ง โปรดเห็นใจช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาด้วย จักขอบพระคุณอย่างสูง ...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น